วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

ประวัติศาสตร์จีน


ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีอารยธรรมยาวนานที่สุดประเทศหนึ่ง โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สามารถค้นคว้าได้บ่งชี้ว่าอารยธรรมจีนมีอายุถึง 5,000 ปี รองจากอารยธรรมอียิปต์
รากฐานที่สำคัญของอารยธรรมจีนคือ การสร้างระบบภาษาเขียน ในยุคราชวงศ์กอณัฐ (ศตวรรษที่ 58 ก่อน ค.ศ.) ให้เป็นภาษากลางใช้ได้ทั่วประเทศ เป็นครั้งแรกในโลก (ไม่ว่าชนเผ่าใดๆจะพูดต่างกัน สำเนียงต่างกัน แต่ใช้ตัวเขียนเหมือนกัน)
การพัฒนาแนวคิดลัทธิขงจื๊อ เมื่อประมาณ ศตวรรษที่ 2 ก่อน ค.ศ.สอนให้คนจีนทุกคนสำนึกว่าแผ่นดินที่ตัวเองเกิด อยู่อาศัย คือแผ่นดินแม่ต้องตอบแทนแผ่นดิน ทำให้คนจีนในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในอเมริกา ในยุโรป อยู่ร่วมกับคนชาติอื่นอย่างมีเสถียรภาพ เพราะใจของคนจีนส่วนใหญ่ต้องตอบแทนแผ่นดินที่ตัวอยู่อาศัย เป็น ประวัติศาสตร์จีนมีทั้งช่วงที่เป็นปึกแผ่นและแตกเป็นหลายอาณาจักรสลับกันไป ในบางครั้งก็ถูกปกครองโดยชนชาติอื่น (มองโกล แมนจู ญี่ปุ่น เป็นชนชาติมองโกลลอยด์หน้าคล้ายคนจีน ที่ไม่เขียน พูดภาษาจีน) วัฒนธรรมของจีนมีอิทธิพลอย่างสูงต่อชาติอื่นๆ ในทวีปเอเชีย และในสังคมโลก เช่น สามก๊ก ซุนวู เครื่องปั้นดินเผา ไวน์ การสร้างสะพานแขวน เครื่องดนตรี กายกรรม การเดินเรือข้ามทวีป การพิมพ์หนังสือ เข็ม/เข็มทิศ การแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งถ่ายทอดไปทั้งการอพยพ การค้า และการยึดครอง (เวียดนาม เกาหลี ญี่ปุน มองโกล ทิเบต ซินเกียง แมนจู) ซึ่งเป็นถิ่นที่ชนชาติ มองโกลลอยด์อยู่นั่นเอง แต่ไม่เขียนภาษาจีน
ยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นไม่มีหลักฐานแน่ชัดนักว่าเริ่มต้นเมื่อไร แต่จากการขุดพบวัตถุโบราณตามลุ่มแม่น้ำฉางเจียงและหวางเหอ แบ่งช่วงเวลานี้ออกได้เป็นสังคมสองแบบ แบบแรกเป็นช่วงที่ผู้หญิงเป็นใหญ่เรียกว่าช่วงวัฒนธรรมหยางเซา และช่วงที่ผู้ชายเป็นใหญ่เรียกว่าวัฒนธรรมหลงซาน ตำนานเล่ากันว่าบรรพบุรุษจีนมีชื่อเรียกว่า หวางตี้ และ เหยียนตี้

ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์
1.       ยุคจีนเป็นดินแดนที่มนุษย์อาศัยเป็นเวลานานที่สุดในทวีปเอเชีย หลักฐานที่พบคือมนุษย์หยวนโหม่ว  (yuanmou man) มีอายุประมาณ 1,700,000 ปี ล่วงมาแล้ว ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1965 ที่มณฑลยูนนาน ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน และ พบโครงกระดูกมนุษย์ปักกิ่ง(bei jing ren) มีอายุประมาณ 700,000 ปี - 200,000 ปี ล่วงมาแล้ว ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1929 ที่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของปักกี่งและพบหลักฐาน มนุษย์ถ้ำ มีอายุประมาณ 18,000 ปี ล่วงมาแล้ว ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1930 ที่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของปักกี่ง
2.       ยุคหินกลาง มีอายุประมาณ 10,000 ปี - 6,000 ปีล่วงมาแล้วใช้ชีวิตกึ่งเร่ร่อน ไม่มีการตั้งหลักแหล่งถาวร มีการพบเครื่องถ้วยชาม หม้อ มีการล่าสัตว์ เก็บอาหาร เครื่องมือหินที่ใช้ในชีวิตประจำวัน คือ หินสับ ขูด หัวธนู
3.       ยุคหินใหม่ มีอายุประมาณ 6,000 ปี - 4,000 ปีล่วงมาแล้วเริ่มตั้งหลักแหล่งเป็นชุมชน รู้จักเพาะปลูกข้าวฟ่าง เลี้ยงสัตว์ ทอผ้า ปลูกบ้านมีหลังคา ในยุคหินใหม่นี้มีมนุษย์ทำเครื่องปั้นดินเผาที่สวยงามมากขึ้น และเขียนลายสี
4.       ยุคโลหะ มีอายุประมาณ 4,000 ปีล่วงมาแล้วหลักฐานที่เก่าสุดคือมีดทองแดง แล้วยังพบเครื่องสำริดเก่าที่สุด ซึ่งนำมาใช้ทำภาชนะต่าง ๆเช่น ที่บรรจุไวน์ กระถาง กระจกเงา มีขนาดใหญ่และสวยงาม มากโดยเฉพาะสมัยราชวงค์ชาง และ ราชวงค์โจว

อารยธรรมจีนสมัยประวัติศาสตร์ 

                        1. ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ               เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชาง สิ้นสุดสมัยราชวงศ์โจว
                        2. ประวัติศาสตร์สมัยจักรวรรดิ            เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิ๋น จนถึงปลายราชวงศ์ชิงหรือเช็ง
                        3. ประวัติศาสตร์สมัยใหม่                   เริ่มปลายราชวงศ์เช็งจนถึงการปฏิวัติเข้าสู่ระบอบสังคมนิยม
                        4. ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย                   เริ่มตั้งแต่จีนปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบ                                                                                     สังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์จนถึงปัจจุบัน

อารยธรรมจีนในสมัยราชวงศ์ต่างๆมีดังนี้ โดยแบ่งออกเป็น 10 ราชวงศ์

 1.ราชวงศ์ชาง เป็นราชวงศ์แรกของจีน




-            มีการปกครองแบบนครรัฐ มีเมืองอันหยางเป็นศูนย์กลางทางอารยธรรม
-            มีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้เป็นครั้งแรก พบจารึกบนกระดองเต่า และกระดูก         วัว เรื่องที่   จารึกส่วนใหญ่เป็นการทำนายโชคชะตาจึงเรียกว่า กระดูกเสี่ยงทาย
-            มีความเชื่อเรื่องการบูชาบรรพบุรุษ นับถือเทพเจ้าในธรรมชาติ 

2. ราชวงศ์โจว



-             แนวความคิดด้านการปกครอง เชื่อเรื่องกษัตริย์เป็น โอรสแห่งสวรรค์ โดยสวรรค์                                           มอบอำนาจให้มาปกครองมนุษย์เรียกว่า อาณัตแห่งสวรรค์
-             เริ่มต้นยุคศักดินาของจีน
-             มีประเพณีการฝังศพ โดยการก่อเนินดินขึ้นมา หรือฝังร่างของผู้ตายลงในดิน
-              เครื่องมือทำจากเหล็กแทนสำริด
-             เป็นยุคทองทางภูมิปัญญาเพราะมีการศึกษาแนวคิดทางการเมืองและสังคมของขงจื๊อ    เมิ่งจื๊อ เล่าจื๊อ และจวงจื๊อ
-              เกิดลัทธิขงจื๊อ ที่มีแนวทาง

  • เป็นแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม
  • เน้นความสัมพันธ์และการทำหน้าที่ของผู้คนในสังคม ระหว่างจักรพรรดิกับราษฎร บิดากับบุตร พี่ชายกับน้องชาย สามีกับภรรยา เพื่อนกับเพื่อน
  • เน้นความกตัญญู เคารพผู้อาวุโส ให้ความสำคัญกับครอบครัว
  • เน้นความสำคัญของการศึกษา
§  ผลงานของขงจื๊อรวบรวมไว้เรียก ตำรับ 5 เล่มของขงจื๊อ ประกอบด้วย
·        อี้จิง       ตำรับว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง
·        ชูจิง       ตำรับว่าด้วยประวัติศาสตร์
·        ซือจิง     ตำรับว่าด้วยกาพย์กลอน
·        หลี่จิ้ง     ตำรับว่าด้วยพิธีการ
·        ชุนชิว    พงศาวดารฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง

-                   เกิดลัทธิเต๋า โดยเล่าจื๊อ ที่มีแนวทาง
  •  
    •   เน้นการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ต้องมีระเบียบแบบแผนพิธีรีตองใดใด
      • เน้นปรับตัวเข้าหาธรรมชาติ
      •  มีการผสมกลมกลืนกันระหว่างลัทธิขงจื๊อและพุทธศาสนานิกายมหายาน 
      • ลัทธินี้มีอิทธิพลต่อศิลปิน กวี และจิตรกรจีน
-                 คำสอนทั้งสองลัทธิเป็นที่พึ่งทางใจของผู้คน

3. ราชวงศ์จิ๋นหรือฉิน


-                   จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่สามารถรวมดินแดนของจีนให้เป็นจักรวรรดิ เป็นครั้งแรกคือ พระเจ้าชิวั่งตี่ หรือ จิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นผู้ให้สร้าง กำแพงเมืองจีน
-                   เป็นการปกครองที่เข้มงวดตามหลักนิติธรรม(ฟาเจีย)ของ ซุนจื๊อ ที่เห็นว่ามนุษย์ชั่ว

ร้ายมี กิเลส ตัณหาต้องใช้อำนาจและกฎหมายเป็นเครื่องควบคุม

-                   ยกเลิกระบบศักดินา
-                   ปราบปรามลัทธิขงจื๊อ เพราะเห็นว่าเป็นลัทธิที่สอนให้คนเกียจคร้าน
-                   มีการใช้เหรียญกษาปณ์ มาตราชั่ง ตวง วัด






4.ราชวงศ์ฮั่น


-                   เป็นยุคทองด้านการค้าของจีน มีการค้าขายกับอาณาจักรโรมัน อาหรับ และอินเดีย โดยเส้นทางการค้าที่เรียกว่า เส้นทางสายไหม ( Silk Road ) โดยสินค้าสำคัญคือ ผ้าไหม เครื่องลายคราม จีนก็จะซื้อพวกผ้าลูกไม้ หัวน้ำหอมจากยุโรป
-                   รื้อฟื้นลัทธิขงจื๊อ คำสอนถูกนำมาใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศ
-                   มีการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการเรียกว่า จอหงวน
-                   เป็นสังคมเปิด ผู้คนสามารถเปลี่ยนชนชั้นได้
-                   ใช้พู่กันมีการทำกระดาษจากเปลือกไม้ คิดค้นการทำหมึกจากเขม่าต้นรัก
-                   มีการคำนวณหาอัตราส่วนเส้นผ่าศูนย์กลางกับเส้นรอบวง
-                   ประดิษฐ์ลูกคิด เครื่องตรวจแผ่นดินไหว

5. ราชวงศ์สุย (สมัยสามก๊ก)



-                   เป็นยุคแตกแยกแบ่งเป็นสามก๊ก
-                   มีการขุดคลองเชื่อมแม่น้ำฮวงโหกับแม่น้ำแยงซี เพื่อประโยชน์ในด้านการคมนาคม

6. ราชวงศ์ถัง



-                   ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของอารยธรรมจีน นครฉางอานเป็นศูนย์กลางของซีกโลกตะวันออกในสมัยนั้น
-                   พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรือง ได้ส่งพระภิกษุ ชื่อพระเสวียนจาง (ถังซำจั๋ง) เดินทางไปศึกษาพระไตรปิฎก ในชมพูทวีป (อินเดีย)
-                   มีเครื่องดนตรี เช่น ขิมและขลุ่ย ซึ่งมาจากการสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา
-                   มีการเผยแผ่ศาสนาคริสต์และอิสลาม
-                   เป็นยุคทองของกวีนิพนธ์จีน กวีคนสำคัญ เช่น หวางเหว่ย  ,หลี่ไป๋,  ตู้ฝู้
-                   ก่อตั้งราชบัณฑิตยสถาน ฮันหลิน หยวน เพื่อเป็นศูนย์รวมของนักปราชญ์ นักดนตรี นักกวี
-                   เกิดลัทธิขงจื๊อใหม่ ขัดขวางการขยายตัวของพระพุทธศาสนา เพราะคิดว่ามาจากความป่าเถื่อน 
-                   ศิลปะแขนงต่างๆมีความรุ่งเรืองมาก

7. ราชวงศ์ซ่ง  



-                   มีความก้าวหน้าด้านการเดินเรือสำเภา
-                   รู้จักการใช้เข็มทิศ ประดิษฐ์แท่นพิมพ์หนังสือ
-                   รักษาโรคด้วยการฝังเข็ม
-                   ฟื้นฟูลัทธิขงจื๊อและ ลัทธิเต๋า
-                   เกิดประเพณีรัดเท้าสตรี



8. ราชวงศ์หยวน (ราชวงศ์มองโกล)


-                   เป็นราชวงศ์ชาวมองโกลที่เข้ามาปกครองจีน ฮ่องเต้องค์แรกคือ   กุบไลข่าน หรือ หงวนสีโจ๊วฮ่องเต้
-                   กำหนดให้ชาวมองโกลเป็นพลเมืองชั้นหนึ่งของประเทศ และชาวจีนที่มีบ้านเกิดอยู่ภาคใต้เป็นชนชั้นต่ำสุด
-                   ศาสนาคริสต์มีความเจริญรุ่งเรืองมาก
-                   ชาวตะวันตกเข้ามาติดต่อค้าขายมาก เช่น มาร์โคโปโล พ่อค้าชาวเมืองเวนีส อิตาลี


9.ราชวงศ์หมิงหรือเหม็ง
-                   ปฐมกษัตริย์จู  ยวนชาง ขับไล่ชาวมองโกลได้สำเร็จ
-                   วรรณกรรม นิยมการเขียนนวนิยายที่ใช้ภาษาพูดมากกว่าการใช้ภาษาเขียน มีนวนิยายที่สำคัญ ได้แก่ สามก๊ก ไซอิ๋ว
-                   มีความเจริญในการทำเครื่องเบญจรงค์
-                   ส่งเสริมการสำรวจเส้นทางเดินเรือทางทะเล
-                   สร้างพระราชวังหลวงปักกิ่ง (วังต้องห้าม)

    

   10.   ราชวงศ์ชิงหรือเช็ง  (ราชวงศ์แมนจู)

-                   ชาวแมนจูเป็นผู้นำในการปกครอง
-                   บังคับให้ชายชาวจีนโกนผมข้างหน้าออกแล้วไว้ผมเปีย แต่งกายด้วยเครื่องแบบชาวแมนจู
-                   นำภาษาแมนจูมาใช้เป็นภาษาราชการ แต่ก็กลับมาใช้ภาษาจีนเหมือนเดิม
-                   มีวรรณกรรมที่เด่นเกิดขึ้นชื่อ ความฝันในหอแดง  สะท้อนสังคมศักดินาของจีนที่กำลังเสื่อมลง
-                   เริ่มถูกรุกรานจากชาติตะวันตก เช่น สงครามฝิ่น    ซึ่งจีนรบแพ้อังกฤษ ทำให้ต้องลงนามในสนธิสัญญานานกิง
-                   ปลายยุคราชวงศ์ชิง พระนางซูสีไทเฮาเข้ามามีอิทธิพลในการบริหารประเทศมาก
*** กษัตริย์สมัยราชวงศ์ชิงมักจะนั่งบัลลังก์ลายมังกร เดินทางทางน้ำด้วยเรือลายมังกร เสวยอาหารด้วยโต๊ะลายมังกร และบรรทมบนเตียงนอนลายมังกร



มังกรจีนถือเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิและวัฒนธรรมของประเทศจีนที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง มังกรจีนมีลักษณะที่ผสมผสานมาจากสัตว์หลาย ๆ ชนิด ตั้งแต่มีลำตัวยาวเหมือนงู มีเขี้ยวคู่ใหญ่ที่ขากรรไกรด้านบน มีหนวดยาวเหมือนไม้เลื้อย มีแผงคอคล้ายสิงโตอยู่บน และมีคอ คาง และข้อศอก ที่มีเกล็ดสีเขียวเข้มปกคลุมทั่วทั้งลำตัวหากนับรวมกันได้มากถึง 117 เกล็ด ในจำนวนนี้ เกล็ดมังกรจำนวน 81 แผ่น ถือว่ามีคุณสมบัติเป็นหยาง อันหมายถึงเกล็ดแห่งความดี ส่วานเกล็ดมังกรอีก 36 แผ่นที่เหลือ จะมีคุณสมบัติเป็นหยิน อันหลายถึงเกล็ดแห่งความชั่ว ส่วน เขาของมังกร จะมีลักษณะทอดยาวไปตามหลังจนถึงหาง และมีหนามทั้งยาวและสั้นสลับกันไป มังกรมีขา 4 ขาและแต่ละขาก็มีกรงเล็บที่แข็งแรงไว้สำหรับป้องกันตัวด้วย
ความเชื่อเรื่อง เกล็ดของมังกรจีนจะแปรผันไปตามแต่ละประเภทของมังกร โดยมีตั้งแต่สีเขียวเข้มไปจนถึงสีทอง หรือบางแหล่งก็กล่าวกันว่า แท้จริงแล้ว มังกรจีนมีหลากหลายสี เช่น สีน้ำเงิน สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว หรือสีเหลือง แต่ถ้าเป็นมังกรชนิดไชโอะ (chiao) จะสังเกตได้ว่าส่วนหลังของมังกรตัวนี้จะเป็นสีเขียว บด้านข้างมีสีเหลือง และใต้ท้องของมังกรจะเป็นสีแดงเข้ม ซึ่งเป็นการผสมผสานหลายๆสีเข้าที่ตัวเดียวกัน มังกรจีนบางชนิดจะมีปีกติดอยู่ข้างลำตัว ทำให้สามารถที่จะเดินไปบนผิวน้ำได้ แต่มังกรจีนบางชนิด สามารถทำให้เกิดเสียงที่ฟังดูเหมือนกับเสียงขลุ่ยได้ เพียงแค่โบกสะบัดแผงคอไปข้างหน้าและข้างหลังเพียงเท่านั้นมังกรจีนบินบนฟ้าได้เพราะมีโหนกอยู่บนหัว ซึ่งเโหนกที่อยู่บนหัวจะถูกเรียกกันว่า เชด เม่อ (ch’ih muh) แต่หากมังกรจีนตัวใดไม่มีส่วนนี้อยู่บนหัว มันก็จะกำคทาเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า โพ เชน (po-shan) เอาไว้ ซึ่งจะช่วยให้มังกรจีนสามารถลอยตัวอยู่บนอากาศได้นั่นเอง
คนจีนโบราณมีความเชื่อว่า มังกรถือสัตว์ที่มีพละกำลังมาก และทีความศักดิ์สิทธิ์เหนือฟ้าและดิน ส่วนใหญ่จะพบมังกรจีนได้ตามแม่น้ำและทะเลสาบ หรืออยู่ท่ามกลางสายฝน และคนจะพูดกันว่ามังกรจีนมีความเป็นมิตรมากกว่าความเป็นศัตรู และถือเป็นสัญลักษณ์ที่นำมาซึ่งรอยยิ้มและความสุข อีกทั้งยังทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่บ้านเมืองได้อีกด้วย มังกรถูกยกย่องว่าเป็นผู้สร้างกฎแห่งความใจบุญ และเป็นผู้เสริมสร้างความมั่นใจให้แก่กษัตริย์ในราชวงศ์ชิง ดังจะเห็นได้ว่า กษัตริย์มักจะนั่งบัลลังก์ลายมังกร เดินทางทางน้ำด้วยเรือลายมังกร เสวยอาหารด้วยโต๊ะลายมังกร และบรรทมบนเตียงนอนลายมังกรด้วยเช่นกัน
มังกรจีนโบราณในตำนาน
เมื่อ 4,000 ปี ก่อนหน้านี้ ตำนานมังกรจีนโบราณได้กล่าวถึงรูปร่างลักษณะของมังกรจีนว่า มีอยู่หลากหลายแบบ แล้วแต่ที่นักวาดรูปจะสร้างสรรออกมา จินตนาการของนักวาดรูปโบราณได้ถูกถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น โดยมีการยึดถือเอาลักษณะรูปแบบที่คนรุ่นก่อนเล่าต่อ ๆ กันมา ซึ่งเล่ากันไว้ว่า มังกรจีนมีลักษณะลำตัวที่ยาวคล้ายงู มีเกล็ดปกคลุมลำตัวเป็นสีเขียว มีดวงตาสีแดง มีหนวดหนึ่งคู่ มีเขาหนึ่งคู่ มีขา 4 ขา และมีกงเล็บที่แข็งแรง ด้วยลักษณะอันน่าเกรงขามนี้ จึงทำให้มังกรจีนโบราณถูกยกย่องให้เป็นสัตว์ของเทพเจ้าที่ชาวจีนยกย่องและเคารพนับถือเป็นอย่างมาก เทพเจ้าในลัทธิเต๋ามีสัตว์พาหนะเอาไว้เพื่อทำหน้าที่คุ้มครองปราสาทของเทพเจ้าที่อาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์ มังกรจีนที่มีกงเล็บ 5 เล็บ จึงถือเป็นสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิ ที่ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ มังกรจีนบางตัวจะมีไข่มุกเม็ดใหญ่อยู่ที่ขาหน้า ทำให้บางคนคิดว่าไข่มุกเม็ดนี้ คือ ไข่ของมังกร ในขณะที่ มังกรบางตัว จะวางไข่ใบนี้เอาไว้ในน้ำไหล
ว่ากันว่า มังกรจีนในตำนานสามารถขยายร่างตัวเองให้มีขนาดใหญ่หรือเล็กเท่าใดก็ได้ตามที่ใจปรารถนา  และมังกรจีนก็ถือเป็น 1 ใน 4 สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของจีน ที่ผู้คนให้ความเคารพบูชามากที่สุด เพราะด้วยความที่มังกรจีนมีนิสัยที่เป็นมิตร เมตตากรุณา มองโลกในแง่ดี ฉลาด ทะเยอทะยาน เด็ดขาด และมีพละกำลัง ทำให้มังกรจีนถูกใช้เป็นที่ปรึกษาของผู้นำในด้านต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม มังกรจีนก็เป็นสัตว์มีถือทิฐิพอสมควร หากผู้นำไม่ยอมทำตามคำแนะนำของมังกรจีนมันก็จะถือตัว ยิ่งถ้าบุคคลผู้ใดไม่ให้เคารพความสำคัญต่อมังกรจีน มันก็จะบันดาลให้ฝนแล้งหรือเกิดพายุ น้ำท่วมมาได้ตามที่ต้องการ ส่วนมังกรตัวเล็กๆที่ยังไม่มีบารมีมากพอ ก็มักจะทำเรื่องยุ่งยากเล็ก ๆน้อยให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ เช่น ทำหลังคาบ้านรั่ว หรือทำให้ข้าวของเหนียวเหนอะหนะ


โลกในยุคโบราณ จะนิยมใช้ส่วนของมันในการปรุงยาสมุนไพร หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า ยากระดูกมังกรส่วนไข่มังกรจีน สมัยเฉียนหลงก็ใช้เอาไปเป็นเครื่องรางประจำพระราชวังปักกิ่ง แต่ต่อเมื่อเวลาผ่านไป หลังจากที่พระราชวังปักกิ่งแตก ไข่มังกรจีนก็สืบทอดรุ่นสู่รุ่น จนในที่สุดก็มาปรากฎอยู่ที่ประเทศไทย ซึ่งการได้มาของไข่มังกรนั้นมีตำนานเล่ากันปากต่อปากมาว่า คณะทูตจากประเทศจีนได้เดินทางโดยการล่องเรือไฮจี่ พร้อมกับผู้ติดตามจำนวน 449 คน และมีทหารประจำเรือ 279 คน คณะฑูตเดินทางมาครั้งนี้ก็เพื่อเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอภิเศกดุสิต โดยมีพระยาบริบูรณโกษากรเป็นผู้เข้าเฝ้าฯ และมอบหมายให้พระยาบริบูรณโกษากร ที่มีชื่อเรียกว่า ฮวด โชติกะพุกกณะ หรือเจ้าคุณกิมจึ๋ง เป็นผู้คอยตอดต่อประสานงาน และจัดงานเลี้ยงต้อนรับในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ไข่มังกรที่ได้รับสืบทอดกันมามีลักษณะเป็นลูกแก้วหินผลึก ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับลูกแก้วของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดของประเทศไทย แต่ไข่มังกรได้ถูกตกแต่งด้วยการเลี่ยม และห่อหุ้มด้วยวัสดุที่คล้ายกับการห่อด้วยแก้ว ไข่มังกรจีนจึงกลายเป็นเรื่องที่โด่งดังและถูกพูดถึงกันอย่างมากในสมัยนั้น

กำเนิดมังกรจีน
ชาวจีนโบราณมีความเชื่อเรื่องสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ 4 ชนิด ได้แก่ กิเลน หงส์ เต่า และมังกร โดยชาวจีนจะยกให้มังกรเป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหมด โดยชาวจีนจะเรียกมังกรจีนว่า เล้ง-เล่ง-หลง-หลุงซึ่งแต่ละคำจะมีความหมายที่แตกต่างกันออกไปตามการออกเสียงในแต่ละท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม มังกรก็ยังถือเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ ความยิ่งใหญ่ และความแข็งแรงของเพศชาย
มังกรจีนถูกเชื่อว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัตว์ของเทพเจ้าบนสวรรค์ เป็นตัวแทนของกษัตริย์ และเป็นโอรสที่จุติมาจากสวรรค์ การได้พบเห็นมังกรจึงถือเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองเป็นอย่างมาก และหากผู้ใดได้มีโอกาสขี่หลังมังกรเพื่อรับไปเป็นเซียนอยู่บนสวรรค์ด้วยแล้ว แสดงว่าผู้นั้นจะต้องเป็นคนมีศีลมีธรรม มีความซื่อสัตย์ และมีจิตใจบริสุทธิ์ ในสมัยโบราณ ชาวจีนก็ได้ทำการจัดทำตำรามังกรขึ้นมา ซึ่งภายในนั้นได้รวบรวมรายละเอียดทั้งในส่วนของประวัติ เผ่าพันธุ์ และลักษณะของมังกรไว้โดยครบถ้วนมากที่สุด แต่เนื่องจากเวลาผ่านไปนานหลายปีแล้ว จึงทำให้ตำราเล่มดังกล่าวสูญหายไปแบบไม่มีใครรู้ว่าไปไหน ทำให้ในปัจจุบัน การศึกษาเรื่องของมังกรจีนเป็นเพียงแค่การสืบค้นจากหลักฐานต่าง ๆ ที่ยังคงมีหลงเหลืออยู่ รวมไปถึงคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ชาวจีนที่ยังพอจำความได้เท่านั้น
ในสมัยโบราณมีตำนานของจีนที่กล่าวถึงเจ้าแม่นึ่งออ หรือ หนี่วา เอาไว้ว่า เจ้าแม่มีลักษณะลำตัวเป็นมนุษย์ แต่มีศีรษะเป็นงู ซึ่งในบางตำราก็มีการพูดถึงว่า ลำตัวตัวท่อนบนนั้นเป็นมนุษย์ แต่ส่วนล่างเป็นงู หลังจากที่เจ้าแม่นึ่งออเสียชีวิตไปได้เป็นเวลา 3 ปีแล้ว ก็ยังพบว่าศพของนางยังคงไม่เน่าเปื่อย และเมื่อลองใช้มีดผ่าท้องของนางพิสูจน์ความจริง ก็ปรากฏเป็นมังกรสีเหลืองตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากท้องและโบยบินขึ้นฟ้าไปในทันที
ส่วนตำราดึกดำบรรพ์ของจีน ได้กล่าวถึงการกำเนิดขึ้นครั้งแรกของมังกรจีนในสมัยของพระเจ้าฟูฮี,ฟูซี หรือฟูยี เมื่อประมาณ 3,935 ปีก่อนพุทธกาล เอาไว้ว่า ในสมัยนั้น มีมังกรอยู่ตัวหนึ่ง มังกรตัวนี้เป็นเสมือนเจ้าเหนือน่านน้ำทั้งปวง รวมระยะเวลามาแล้วหลายพันปี ซึ่งความจริงแล้วมังกรตัวนั้นก็เป็น พระเจ้าฟูฮี ที่แปลงกายมานั่นเอง ซึ่งตำนานยังกล่าวถึงพระเจ้าฟูฮีไว้อีกมากมาย ว่าพระองค์เป็นผู้ที่มีความสามารถหลายด้าน ทรงเป็นักคิดนักประดิษฐ์สิ่งของขึ้นมาหลายสิ่ง เช่น โป๊ย-ก่วยหรือ ยันต์แปดทิศ มากไปกว่านั้น พระองค์ยังทรงเป็นผู้กำหนดการที่เกิดพิธีมั่นหมายระหว่างฝ่ายชายและหญิงที่เป็นคู่ครองกันอีกด้วย
ส่วนหนังสือประวัติวัฒนธรรมจีนก็ได้กล่าวถึงมังกรจีนไว้ว่า มังกรถือกำเนิดขึ้นในช่วงสมัยของพระเจ้าอึ่งตี่ พระเจ้าอึ่งตี่, อึ้งตี่ หรือหวงตี้ ผู้ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทำหน้าที่สำคัญในการรวบรวมเอาแผ่นดินจีนไว้ด้วยกัน พระองค์ได้ทรงจินตนาการสัตว์ที่ชื่อว่ามังกรขึ้นมา โดยรวบรวมเอาลักษณะต่างๆมาจากสัญลักษณ์ของเผ่าต่าง ๆ โดยมีวัตุประสงค์เพื่อให้มังกรกลายไปเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หลังจากที่พระเจ้าอึ่งตี่สิ้นพระชนม์ ก็ปรากฎกายของมังกรจากฟากฟ้าลงมารับตัวของพระองค์และพระมเหสีขึ้นไปเป็นเซียนอาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์ แต่บางตำราก็ได้กล่าวเอาไว้ว่า พระองค์นั้นเป็นหวงตี้องค์เดียวกันกับที่ได้เป็นเจ้าสวรรค์ หรือที่ใครๆรู้จักกันดีในชื่อของ เง็กเซียนฮ่องเต้ ในเวลาต่อมา และด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้ชาวจีนยกย่องว่ามังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวงในโลก




จัดทำ นางสาวกนกพร วนิชพิสิฐพันธ์ ชั้นม.6.13 เลขที่ 18
เสนอ คุณครูเตือนใจ  ไชยศิลป์
โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม