ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีอารยธรรมยาวนานที่สุดประเทศหนึ่ง
โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สามารถค้นคว้าได้บ่งชี้ว่าอารยธรรมจีนมีอายุถึง 5,000 ปี รองจากอารยธรรมอียิปต์
รากฐานที่สำคัญของอารยธรรมจีนคือ การสร้างระบบภาษาเขียน
ในยุคราชวงศ์กอณัฐ (ศตวรรษที่ 58 ก่อน ค.ศ.) ให้เป็นภาษากลางใช้ได้ทั่วประเทศ
เป็นครั้งแรกในโลก (ไม่ว่าชนเผ่าใดๆจะพูดต่างกัน สำเนียงต่างกัน
แต่ใช้ตัวเขียนเหมือนกัน)
การพัฒนาแนวคิดลัทธิขงจื๊อ เมื่อประมาณ ศตวรรษที่ 2 ก่อน ค.ศ.สอนให้คนจีนทุกคนสำนึกว่าแผ่นดินที่ตัวเองเกิด
อยู่อาศัย คือแผ่นดินแม่ต้องตอบแทนแผ่นดิน ทำให้คนจีนในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
ในอเมริกา ในยุโรป อยู่ร่วมกับคนชาติอื่นอย่างมีเสถียรภาพ
เพราะใจของคนจีนส่วนใหญ่ต้องตอบแทนแผ่นดินที่ตัวอยู่อาศัย เป็น
ประวัติศาสตร์จีนมีทั้งช่วงที่เป็นปึกแผ่นและแตกเป็นหลายอาณาจักรสลับกันไป
ในบางครั้งก็ถูกปกครองโดยชนชาติอื่น (มองโกล แมนจู ญี่ปุ่น เป็นชนชาติมองโกลลอยด์หน้าคล้ายคนจีน
ที่ไม่เขียน พูดภาษาจีน) วัฒนธรรมของจีนมีอิทธิพลอย่างสูงต่อชาติอื่นๆ ในทวีปเอเชีย และในสังคมโลก เช่น
สามก๊ก ซุนวู เครื่องปั้นดินเผา ไวน์ การสร้างสะพานแขวน เครื่องดนตรี กายกรรม
การเดินเรือข้ามทวีป การพิมพ์หนังสือ เข็ม/เข็มทิศ การแพทย์แผนปัจจุบัน
ซึ่งถ่ายทอดไปทั้งการอพยพ การค้า และการยึดครอง (เวียดนาม เกาหลี ญี่ปุน มองโกล
ทิเบต ซินเกียง แมนจู) ซึ่งเป็นถิ่นที่ชนชาติ มองโกลลอยด์อยู่นั่นเอง
แต่ไม่เขียนภาษาจีน
ยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นไม่มีหลักฐานแน่ชัดนักว่าเริ่มต้นเมื่อไร
แต่จากการขุดพบวัตถุโบราณตามลุ่มแม่น้ำฉางเจียงและหวางเหอ แบ่งช่วงเวลานี้ออกได้เป็นสังคมสองแบบ
แบบแรกเป็นช่วงที่ผู้หญิงเป็นใหญ่เรียกว่าช่วงวัฒนธรรมหยางเซา และช่วงที่ผู้ชายเป็นใหญ่เรียกว่าวัฒนธรรมหลงซาน ตำนานเล่ากันว่าบรรพบุรุษจีนมีชื่อเรียกว่า หวางตี้ และ เหยียนตี้
ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์
1. ยุคจีนเป็นดินแดนที่มนุษย์อาศัยเป็นเวลานานที่สุดในทวีปเอเชีย หลักฐานที่พบคือมนุษย์หยวนโหม่ว (yuanmou man) มีอายุประมาณ
1,700,000 ปี ล่วงมาแล้ว ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1965 ที่มณฑลยูนนาน ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
และ พบโครงกระดูกมนุษย์ปักกิ่ง(bei jing ren) มีอายุประมาณ 700,000 ปี - 200,000 ปี ล่วงมาแล้ว ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1929 ที่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของปักกี่งและพบหลักฐาน
มนุษย์ถ้ำ มีอายุประมาณ 18,000 ปี ล่วงมาแล้ว ถูกค้นพบในปี
ค.ศ. 1930 ที่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของปักกี่ง
2. ยุคหินกลาง มีอายุประมาณ
10,000 ปี - 6,000 ปีล่วงมาแล้วใช้ชีวิตกึ่งเร่ร่อน
ไม่มีการตั้งหลักแหล่งถาวร มีการพบเครื่องถ้วยชาม หม้อ มีการล่าสัตว์ เก็บอาหาร
เครื่องมือหินที่ใช้ในชีวิตประจำวัน คือ หินสับ ขูด หัวธนู
3. ยุคหินใหม่ มีอายุประมาณ
6,000 ปี - 4,000 ปีล่วงมาแล้วเริ่มตั้งหลักแหล่งเป็นชุมชน
รู้จักเพาะปลูกข้าวฟ่าง เลี้ยงสัตว์
ทอผ้า ปลูกบ้านมีหลังคา
ในยุคหินใหม่นี้มีมนุษย์ทำเครื่องปั้นดินเผาที่สวยงามมากขึ้น และเขียนลายสี
4. ยุคโลหะ มีอายุประมาณ
4,000 ปีล่วงมาแล้วหลักฐานที่เก่าสุดคือมีดทองแดง แล้วยังพบเครื่องสำริดเก่าที่สุด
ซึ่งนำมาใช้ทำภาชนะต่าง ๆเช่น ที่บรรจุไวน์ กระถาง
กระจกเงา มีขนาดใหญ่และสวยงาม มากโดยเฉพาะสมัยราชวงค์ชาง และ ราชวงค์โจว
อารยธรรมจีนสมัยประวัติศาสตร์
1. ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชาง สิ้นสุดสมัยราชวงศ์โจว
2. ประวัติศาสตร์สมัยจักรวรรดิ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิ๋น จนถึงปลายราชวงศ์ชิงหรือเช็ง
3. ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เริ่มปลายราชวงศ์เช็งจนถึงการปฏิวัติเข้าสู่ระบอบสังคมนิยม
4. ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย เริ่มตั้งแต่จีนปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบ สังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์จนถึงปัจจุบัน
อารยธรรมจีนในสมัยราชวงศ์ต่างๆมีดังนี้ โดยแบ่งออกเป็น 10 ราชวงศ์
1.ราชวงศ์ชาง เป็นราชวงศ์แรกของจีน
- มีการปกครองแบบนครรัฐ มีเมืองอันหยางเป็นศูนย์กลางทางอารยธรรม
- มีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้เป็นครั้งแรก
พบจารึกบนกระดองเต่า และกระดูก วัว เรื่องที่ จารึกส่วนใหญ่เป็นการทำนายโชคชะตาจึงเรียกว่า “กระดูกเสี่ยงทาย”
- มีความเชื่อเรื่องการบูชาบรรพบุรุษ นับถือเทพเจ้าในธรรมชาติ
2. ราชวงศ์โจว
- แนวความคิดด้านการปกครอง เชื่อเรื่องกษัตริย์เป็น “โอรสแห่งสวรรค์” โดยสวรรค์ มอบอำนาจให้มาปกครองมนุษย์เรียกว่า “อาณัตแห่งสวรรค์”
- เริ่มต้นยุคศักดินาของจีน
- มีประเพณีการฝังศพ โดยการก่อเนินดินขึ้นมา หรือฝังร่างของผู้ตายลงในดิน
- เครื่องมือทำจากเหล็กแทนสำริด
- เป็นยุคทองทางภูมิปัญญาเพราะมีการศึกษาแนวคิดทางการเมืองและสังคมของขงจื๊อ
เมิ่งจื๊อ เล่าจื๊อ และจวงจื๊อ
- เกิดลัทธิขงจื๊อ ที่มีแนวทาง
- เป็นแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม
- เน้นความสัมพันธ์และการทำหน้าที่ของผู้คนในสังคม
ระหว่างจักรพรรดิกับราษฎร บิดากับบุตร พี่ชายกับน้องชาย สามีกับภรรยา
เพื่อนกับเพื่อน
- เน้นความกตัญญู เคารพผู้อาวุโส ให้ความสำคัญกับครอบครัว
- เน้นความสำคัญของการศึกษา
§ ผลงานของขงจื๊อรวบรวมไว้เรียก ตำรับ 5 เล่มของขงจื๊อ ประกอบด้วย
·
อี้จิง ตำรับว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง
·
ชูจิง ตำรับว่าด้วยประวัติศาสตร์
·
ซือจิง ตำรับว่าด้วยกาพย์กลอน
·
หลี่จิ้ง ตำรับว่าด้วยพิธีการ
·
ชุนชิว พงศาวดารฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง
- เกิดลัทธิเต๋า โดยเล่าจื๊อ ที่มีแนวทาง
-
- เน้นการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย
ไม่ต้องมีระเบียบแบบแผนพิธีรีตองใดใด
- เน้นปรับตัวเข้าหาธรรมชาติ
- มีการผสมกลมกลืนกันระหว่างลัทธิขงจื๊อและพุทธศาสนานิกายมหายาน
- ลัทธินี้มีอิทธิพลต่อศิลปิน กวี และจิตรกรจีน
- คำสอนทั้งสองลัทธิเป็นที่พึ่งทางใจของผู้คน
3. ราชวงศ์จิ๋นหรือฉิน
- จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่สามารถรวมดินแดนของจีนให้เป็นจักรวรรดิ
เป็นครั้งแรกคือ พระเจ้าชิวั่งตี่ หรือ
จิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นผู้ให้สร้าง กำแพงเมืองจีน
- เป็นการปกครองที่เข้มงวดตามหลักนิติธรรม(ฟาเจีย)ของ ซุนจื๊อ
ที่เห็นว่ามนุษย์ชั่ว
ร้ายมี กิเลส ตัณหาต้องใช้อำนาจและกฎหมายเป็นเครื่องควบคุม
- ยกเลิกระบบศักดินา
- ปราบปรามลัทธิขงจื๊อ เพราะเห็นว่าเป็นลัทธิที่สอนให้คนเกียจคร้าน
- มีการใช้เหรียญกษาปณ์ มาตราชั่ง ตวง วัด
4.ราชวงศ์ฮั่น
- เป็นยุคทองด้านการค้าของจีน มีการค้าขายกับอาณาจักรโรมัน อาหรับ
และอินเดีย โดยเส้นทางการค้าที่เรียกว่า เส้นทางสายไหม (
Silk Road ) โดยสินค้าสำคัญคือ ผ้าไหม เครื่องลายคราม
จีนก็จะซื้อพวกผ้าลูกไม้ หัวน้ำหอมจากยุโรป
- รื้อฟื้นลัทธิขงจื๊อ คำสอนถูกนำมาใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศ
- มีการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการเรียกว่า จอหงวน
- เป็นสังคมเปิด ผู้คนสามารถเปลี่ยนชนชั้นได้
- ใช้พู่กันมีการทำกระดาษจากเปลือกไม้ คิดค้นการทำหมึกจากเขม่าต้นรัก
- มีการคำนวณหาอัตราส่วนเส้นผ่าศูนย์กลางกับเส้นรอบวง
- ประดิษฐ์ลูกคิด เครื่องตรวจแผ่นดินไหว
5. ราชวงศ์สุย (สมัยสามก๊ก)
- เป็นยุคแตกแยกแบ่งเป็นสามก๊ก
- มีการขุดคลองเชื่อมแม่น้ำฮวงโหกับแม่น้ำแยงซี
เพื่อประโยชน์ในด้านการคมนาคม
6. ราชวงศ์ถัง
- ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของอารยธรรมจีน
นครฉางอานเป็นศูนย์กลางของซีกโลกตะวันออกในสมัยนั้น
- พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรือง ได้ส่งพระภิกษุ ชื่อพระเสวียนจาง (ถังซำจั๋ง) เดินทางไปศึกษาพระไตรปิฎก
ในชมพูทวีป (อินเดีย)
- มีเครื่องดนตรี เช่น ขิมและขลุ่ย ซึ่งมาจากการสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา
- มีการเผยแผ่ศาสนาคริสต์และอิสลาม
- เป็นยุคทองของกวีนิพนธ์จีน กวีคนสำคัญ เช่น หวางเหว่ย ,หลี่ไป๋, ตู้ฝู้
- ก่อตั้งราชบัณฑิตยสถาน ฮันหลิน หยวน เพื่อเป็นศูนย์รวมของนักปราชญ์
นักดนตรี นักกวี
- เกิดลัทธิขงจื๊อใหม่ ขัดขวางการขยายตัวของพระพุทธศาสนา
เพราะคิดว่ามาจากความป่าเถื่อน
- ศิลปะแขนงต่างๆมีความรุ่งเรืองมาก
7. ราชวงศ์ซ่ง
- มีความก้าวหน้าด้านการเดินเรือสำเภา
- รู้จักการใช้เข็มทิศ ประดิษฐ์แท่นพิมพ์หนังสือ
- รักษาโรคด้วยการฝังเข็ม
- ฟื้นฟูลัทธิขงจื๊อและ ลัทธิเต๋า
- เกิดประเพณีรัดเท้าสตรี
8. ราชวงศ์หยวน (ราชวงศ์มองโกล)
- เป็นราชวงศ์ชาวมองโกลที่เข้ามาปกครองจีน ฮ่องเต้องค์แรกคือ กุบไลข่าน หรือ หงวนสีโจ๊วฮ่องเต้
- กำหนดให้ชาวมองโกลเป็นพลเมืองชั้นหนึ่งของประเทศ
และชาวจีนที่มีบ้านเกิดอยู่ภาคใต้เป็นชนชั้นต่ำสุด
- ศาสนาคริสต์มีความเจริญรุ่งเรืองมาก
- ชาวตะวันตกเข้ามาติดต่อค้าขายมาก เช่น มาร์โคโปโล พ่อค้าชาวเมืองเวนีส
อิตาลี
9.ราชวงศ์หมิงหรือเหม็ง
- ปฐมกษัตริย์จู ยวนชาง
ขับไล่ชาวมองโกลได้สำเร็จ
- วรรณกรรม นิยมการเขียนนวนิยายที่ใช้ภาษาพูดมากกว่าการใช้ภาษาเขียน
มีนวนิยายที่สำคัญ ได้แก่ สามก๊ก ไซอิ๋ว
- มีความเจริญในการทำเครื่องเบญจรงค์
- ส่งเสริมการสำรวจเส้นทางเดินเรือทางทะเล
- สร้างพระราชวังหลวงปักกิ่ง (วังต้องห้าม)
10. ราชวงศ์ชิงหรือเช็ง (ราชวงศ์แมนจู)
- ชาวแมนจูเป็นผู้นำในการปกครอง
- บังคับให้ชายชาวจีนโกนผมข้างหน้าออกแล้วไว้ผมเปีย
แต่งกายด้วยเครื่องแบบชาวแมนจู
- นำภาษาแมนจูมาใช้เป็นภาษาราชการ แต่ก็กลับมาใช้ภาษาจีนเหมือนเดิม
- มีวรรณกรรมที่เด่นเกิดขึ้นชื่อ ความฝันในหอแดง สะท้อนสังคมศักดินาของจีนที่กำลังเสื่อมลง
- เริ่มถูกรุกรานจากชาติตะวันตก เช่น สงครามฝิ่น ซึ่งจีนรบแพ้อังกฤษ ทำให้ต้องลงนามในสนธิสัญญานานกิง
- ปลายยุคราชวงศ์ชิง พระนางซูสีไทเฮาเข้ามามีอิทธิพลในการบริหารประเทศมาก
*** กษัตริย์สมัยราชวงศ์ชิงมักจะนั่งบัลลังก์ลายมังกร
เดินทางทางน้ำด้วยเรือลายมังกร เสวยอาหารด้วยโต๊ะลายมังกร และบรรทมบนเตียงนอนลายมังกร
มังกรจีนถือเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิและวัฒนธรรมของประเทศจีนที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง
มังกรจีนมีลักษณะที่ผสมผสานมาจากสัตว์หลาย ๆ ชนิด ตั้งแต่มีลำตัวยาวเหมือนงู
มีเขี้ยวคู่ใหญ่ที่ขากรรไกรด้านบน มีหนวดยาวเหมือนไม้เลื้อย
มีแผงคอคล้ายสิงโตอยู่บน และมีคอ คาง และข้อศอก
ที่มีเกล็ดสีเขียวเข้มปกคลุมทั่วทั้งลำตัวหากนับรวมกันได้มากถึง 117 เกล็ด ในจำนวนนี้
เกล็ดมังกรจำนวน 81 แผ่น ถือว่ามีคุณสมบัติเป็นหยาง
อันหมายถึงเกล็ดแห่งความดี ส่วานเกล็ดมังกรอีก 36 แผ่นที่เหลือ
จะมีคุณสมบัติเป็นหยิน อันหลายถึงเกล็ดแห่งความชั่ว ส่วน เขาของมังกร
จะมีลักษณะทอดยาวไปตามหลังจนถึงหาง และมีหนามทั้งยาวและสั้นสลับกันไป มังกรมีขา 4
ขาและแต่ละขาก็มีกรงเล็บที่แข็งแรงไว้สำหรับป้องกันตัวด้วย
ความเชื่อเรื่อง
เกล็ดของมังกรจีนจะแปรผันไปตามแต่ละประเภทของมังกร
โดยมีตั้งแต่สีเขียวเข้มไปจนถึงสีทอง หรือบางแหล่งก็กล่าวกันว่า แท้จริงแล้ว
มังกรจีนมีหลากหลายสี เช่น สีน้ำเงิน สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว หรือสีเหลือง
แต่ถ้าเป็นมังกรชนิดไชโอะ (chiao)
จะสังเกตได้ว่าส่วนหลังของมังกรตัวนี้จะเป็นสีเขียว
บด้านข้างมีสีเหลือง และใต้ท้องของมังกรจะเป็นสีแดงเข้ม ซึ่งเป็นการผสมผสานหลายๆสีเข้าที่ตัวเดียวกัน
มังกรจีนบางชนิดจะมีปีกติดอยู่ข้างลำตัว ทำให้สามารถที่จะเดินไปบนผิวน้ำได้
แต่มังกรจีนบางชนิด สามารถทำให้เกิดเสียงที่ฟังดูเหมือนกับเสียงขลุ่ยได้
เพียงแค่โบกสะบัดแผงคอไปข้างหน้าและข้างหลังเพียงเท่านั้นมังกรจีนบินบนฟ้าได้เพราะมีโหนกอยู่บนหัว
ซึ่งเโหนกที่อยู่บนหัวจะถูกเรียกกันว่า เชด เม่อ (ch’ih muh) แต่หากมังกรจีนตัวใดไม่มีส่วนนี้อยู่บนหัว มันก็จะกำคทาเล็ก ๆ
ที่มีชื่อว่า โพ เชน (po-shan) เอาไว้
ซึ่งจะช่วยให้มังกรจีนสามารถลอยตัวอยู่บนอากาศได้นั่นเอง
คนจีนโบราณมีความเชื่อว่า มังกรถือสัตว์ที่มีพละกำลังมาก
และทีความศักดิ์สิทธิ์เหนือฟ้าและดิน ส่วนใหญ่จะพบมังกรจีนได้ตามแม่น้ำและทะเลสาบ
หรืออยู่ท่ามกลางสายฝน
และคนจะพูดกันว่ามังกรจีนมีความเป็นมิตรมากกว่าความเป็นศัตรู
และถือเป็นสัญลักษณ์ที่นำมาซึ่งรอยยิ้มและความสุข อีกทั้งยังทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่บ้านเมืองได้อีกด้วย
มังกรถูกยกย่องว่าเป็นผู้สร้างกฎแห่งความใจบุญ
และเป็นผู้เสริมสร้างความมั่นใจให้แก่กษัตริย์ในราชวงศ์ชิง ดังจะเห็นได้ว่า
กษัตริย์มักจะนั่งบัลลังก์ลายมังกร เดินทางทางน้ำด้วยเรือลายมังกร
เสวยอาหารด้วยโต๊ะลายมังกร และบรรทมบนเตียงนอนลายมังกรด้วยเช่นกัน
มังกรจีนโบราณในตำนาน
เมื่อ
4,000 ปี ก่อนหน้านี้
ตำนานมังกรจีนโบราณได้กล่าวถึงรูปร่างลักษณะของมังกรจีนว่า มีอยู่หลากหลายแบบ
แล้วแต่ที่นักวาดรูปจะสร้างสรรออกมา
จินตนาการของนักวาดรูปโบราณได้ถูกถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น โดยมีการยึดถือเอาลักษณะรูปแบบที่คนรุ่นก่อนเล่าต่อ
ๆ กันมา ซึ่งเล่ากันไว้ว่า มังกรจีนมีลักษณะลำตัวที่ยาวคล้ายงู
มีเกล็ดปกคลุมลำตัวเป็นสีเขียว มีดวงตาสีแดง มีหนวดหนึ่งคู่ มีเขาหนึ่งคู่ มีขา 4
ขา และมีกงเล็บที่แข็งแรง ด้วยลักษณะอันน่าเกรงขามนี้
จึงทำให้มังกรจีนโบราณถูกยกย่องให้เป็นสัตว์ของเทพเจ้าที่ชาวจีนยกย่องและเคารพนับถือเป็นอย่างมาก
เทพเจ้าในลัทธิเต๋ามีสัตว์พาหนะเอาไว้เพื่อทำหน้าที่คุ้มครองปราสาทของเทพเจ้าที่อาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์
มังกรจีนที่มีกงเล็บ 5 เล็บ
จึงถือเป็นสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิ ที่ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์
นอกจากนี้ มังกรจีนบางตัวจะมีไข่มุกเม็ดใหญ่อยู่ที่ขาหน้า
ทำให้บางคนคิดว่าไข่มุกเม็ดนี้ คือ ไข่ของมังกร ในขณะที่ มังกรบางตัว
จะวางไข่ใบนี้เอาไว้ในน้ำไหล
ว่ากันว่า
มังกรจีนในตำนานสามารถขยายร่างตัวเองให้มีขนาดใหญ่หรือเล็กเท่าใดก็ได้ตามที่ใจปรารถนา
และมังกรจีนก็ถือเป็น 1
ใน 4 สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของจีน
ที่ผู้คนให้ความเคารพบูชามากที่สุด เพราะด้วยความที่มังกรจีนมีนิสัยที่เป็นมิตร
เมตตากรุณา มองโลกในแง่ดี ฉลาด ทะเยอทะยาน เด็ดขาด และมีพละกำลัง
ทำให้มังกรจีนถูกใช้เป็นที่ปรึกษาของผู้นำในด้านต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม มังกรจีนก็เป็นสัตว์มีถือทิฐิพอสมควร
หากผู้นำไม่ยอมทำตามคำแนะนำของมังกรจีนมันก็จะถือตัว
ยิ่งถ้าบุคคลผู้ใดไม่ให้เคารพความสำคัญต่อมังกรจีน
มันก็จะบันดาลให้ฝนแล้งหรือเกิดพายุ น้ำท่วมมาได้ตามที่ต้องการ
ส่วนมังกรตัวเล็กๆที่ยังไม่มีบารมีมากพอ ก็มักจะทำเรื่องยุ่งยากเล็ก
ๆน้อยให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ เช่น ทำหลังคาบ้านรั่ว หรือทำให้ข้าวของเหนียวเหนอะหนะ
โลกในยุคโบราณ
จะนิยมใช้ส่วนของมันในการปรุงยาสมุนไพร หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “ยากระดูกมังกร” ส่วนไข่มังกรจีน
สมัยเฉียนหลงก็ใช้เอาไปเป็นเครื่องรางประจำพระราชวังปักกิ่ง แต่ต่อเมื่อเวลาผ่านไป
หลังจากที่พระราชวังปักกิ่งแตก ไข่มังกรจีนก็สืบทอดรุ่นสู่รุ่น
จนในที่สุดก็มาปรากฎอยู่ที่ประเทศไทย
ซึ่งการได้มาของไข่มังกรนั้นมีตำนานเล่ากันปากต่อปากมาว่า
คณะทูตจากประเทศจีนได้เดินทางโดยการล่องเรือไฮจี่ พร้อมกับผู้ติดตามจำนวน 449
คน และมีทหารประจำเรือ 279 คน
คณะฑูตเดินทางมาครั้งนี้ก็เพื่อเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ
พระที่นั่งอภิเศกดุสิต โดยมีพระยาบริบูรณโกษากรเป็นผู้เข้าเฝ้าฯ
และมอบหมายให้พระยาบริบูรณโกษากร ที่มีชื่อเรียกว่า ฮวด โชติกะพุกกณะ
หรือเจ้าคุณกิมจึ๋ง เป็นผู้คอยตอดต่อประสานงาน
และจัดงานเลี้ยงต้อนรับในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ไข่มังกรที่ได้รับสืบทอดกันมามีลักษณะเป็นลูกแก้วหินผลึก
ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับลูกแก้วของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดของประเทศไทย
แต่ไข่มังกรได้ถูกตกแต่งด้วยการเลี่ยม และห่อหุ้มด้วยวัสดุที่คล้ายกับการห่อด้วยแก้ว
ไข่มังกรจีนจึงกลายเป็นเรื่องที่โด่งดังและถูกพูดถึงกันอย่างมากในสมัยนั้น
กำเนิดมังกรจีน
ชาวจีนโบราณมีความเชื่อเรื่องสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
4 ชนิด ได้แก่ กิเลน หงส์ เต่า
และมังกร โดยชาวจีนจะยกให้มังกรเป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหมด
โดยชาวจีนจะเรียกมังกรจีนว่า “เล้ง-เล่ง-หลง-หลุง” ซึ่งแต่ละคำจะมีความหมายที่แตกต่างกันออกไปตามการออกเสียงในแต่ละท้องถิ่น
อย่างไรก็ตาม มังกรก็ยังถือเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ ความยิ่งใหญ่
และความแข็งแรงของเพศชาย
มังกรจีนถูกเชื่อว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
เป็นสัตว์ของเทพเจ้าบนสวรรค์ เป็นตัวแทนของกษัตริย์ และเป็นโอรสที่จุติมาจากสวรรค์
การได้พบเห็นมังกรจึงถือเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองเป็นอย่างมาก
และหากผู้ใดได้มีโอกาสขี่หลังมังกรเพื่อรับไปเป็นเซียนอยู่บนสวรรค์ด้วยแล้ว
แสดงว่าผู้นั้นจะต้องเป็นคนมีศีลมีธรรม มีความซื่อสัตย์ และมีจิตใจบริสุทธิ์
ในสมัยโบราณ ชาวจีนก็ได้ทำการจัดทำตำรามังกรขึ้นมา
ซึ่งภายในนั้นได้รวบรวมรายละเอียดทั้งในส่วนของประวัติ เผ่าพันธุ์
และลักษณะของมังกรไว้โดยครบถ้วนมากที่สุด แต่เนื่องจากเวลาผ่านไปนานหลายปีแล้ว
จึงทำให้ตำราเล่มดังกล่าวสูญหายไปแบบไม่มีใครรู้ว่าไปไหน ทำให้ในปัจจุบัน
การศึกษาเรื่องของมังกรจีนเป็นเพียงแค่การสืบค้นจากหลักฐานต่าง ๆ
ที่ยังคงมีหลงเหลืออยู่
รวมไปถึงคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ชาวจีนที่ยังพอจำความได้เท่านั้น
ในสมัยโบราณมีตำนานของจีนที่กล่าวถึงเจ้าแม่นึ่งออ
หรือ หนี่วา เอาไว้ว่า เจ้าแม่มีลักษณะลำตัวเป็นมนุษย์ แต่มีศีรษะเป็นงู
ซึ่งในบางตำราก็มีการพูดถึงว่า ลำตัวตัวท่อนบนนั้นเป็นมนุษย์ แต่ส่วนล่างเป็นงู
หลังจากที่เจ้าแม่นึ่งออเสียชีวิตไปได้เป็นเวลา 3 ปีแล้ว
ก็ยังพบว่าศพของนางยังคงไม่เน่าเปื่อย และเมื่อลองใช้มีดผ่าท้องของนางพิสูจน์ความจริง
ก็ปรากฏเป็นมังกรสีเหลืองตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากท้องและโบยบินขึ้นฟ้าไปในทันที
ส่วนตำราดึกดำบรรพ์ของจีน
ได้กล่าวถึงการกำเนิดขึ้นครั้งแรกของมังกรจีนในสมัยของพระเจ้าฟูฮี,ฟูซี หรือฟูยี เมื่อประมาณ 3,935
ปีก่อนพุทธกาล เอาไว้ว่า ในสมัยนั้น มีมังกรอยู่ตัวหนึ่ง
มังกรตัวนี้เป็นเสมือนเจ้าเหนือน่านน้ำทั้งปวง รวมระยะเวลามาแล้วหลายพันปี
ซึ่งความจริงแล้วมังกรตัวนั้นก็เป็น พระเจ้าฟูฮี ที่แปลงกายมานั่นเอง
ซึ่งตำนานยังกล่าวถึงพระเจ้าฟูฮีไว้อีกมากมาย
ว่าพระองค์เป็นผู้ที่มีความสามารถหลายด้าน ทรงเป็นักคิดนักประดิษฐ์สิ่งของขึ้นมาหลายสิ่ง
เช่น “โป๊ย-ก่วย” หรือ ยันต์แปดทิศ
มากไปกว่านั้น
พระองค์ยังทรงเป็นผู้กำหนดการที่เกิดพิธีมั่นหมายระหว่างฝ่ายชายและหญิงที่เป็นคู่ครองกันอีกด้วย
ส่วนหนังสือประวัติวัฒนธรรมจีนก็ได้กล่าวถึงมังกรจีนไว้ว่า
มังกรถือกำเนิดขึ้นในช่วงสมัยของพระเจ้าอึ่งตี่ พระเจ้าอึ่งตี่, อึ้งตี่ หรือหวงตี้
ผู้ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทำหน้าที่สำคัญในการรวบรวมเอาแผ่นดินจีนไว้ด้วยกัน
พระองค์ได้ทรงจินตนาการสัตว์ที่ชื่อว่ามังกรขึ้นมา
โดยรวบรวมเอาลักษณะต่างๆมาจากสัญลักษณ์ของเผ่าต่าง ๆ โดยมีวัตุประสงค์เพื่อให้มังกรกลายไปเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
หลังจากที่พระเจ้าอึ่งตี่สิ้นพระชนม์
ก็ปรากฎกายของมังกรจากฟากฟ้าลงมารับตัวของพระองค์และพระมเหสีขึ้นไปเป็นเซียนอาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์
แต่บางตำราก็ได้กล่าวเอาไว้ว่า พระองค์นั้นเป็นหวงตี้องค์เดียวกันกับที่ได้เป็นเจ้าสวรรค์
หรือที่ใครๆรู้จักกันดีในชื่อของ เง็กเซียนฮ่องเต้ ในเวลาต่อมา และด้วยเหตุนี้เอง
ที่ทำให้ชาวจีนยกย่องว่ามังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
และเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวงในโลก
จัดทำ นางสาวกนกพร วนิชพิสิฐพันธ์ ชั้นม.6.13 เลขที่ 18
เสนอ คุณครูเตือนใจ ไชยศิลป์
โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม